การร้อยไหมคืออะไร? วิธีคืนความกระชับให้ผิวหน้า พร้อมไขทุกข้อสงสัย
การร้อยไหม หรือที่เรียกกันว่า Thread Lift เป็นหนึ่งในวิธีการยกกระชับใบหน้าที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน ทำให้หลายคนหันมาเลือกวิธีนี้แทนการผ่าตัดเสริมความงาม
การร้อยไหมเป็นกระบวนการที่ใช้เส้นไหมพิเศษที่สามารถละลายได้เอง (Absorbable Thread) ซึ่งผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองทางการแพทย์ การร้อยไหมเข้าสู่ชั้นผิวหนัง สามารถช่วยยกกระชับผิวให้กลับมาตึงและดูอ่อนเยาว์ขึ้น
กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกกระชับผิวในทันทีเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ภายใต้ผิวหนัง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความคงทนและธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญของการร้อยไหมที่แตกต่างจากการทำหัตถการอื่นๆ
ร้อยไหมช่วยยกกระชับได้จริงไหม?
การร้อยไหมช่วยยกกระชับใบหน้าได้จริง โดยทำงานผ่าน 2 กลไกหลัก คือ การยกกระชับทันทีและการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
หลักการทำงานของการร้อยไหม
เส้นไหมทำหน้าที่เหมือนกับ “โครงสร้างพยุง” ที่ช่วยดึงและยกกระชับเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อย เส้นไหมที่มีหนามหรือกิ่งก้านเล็กๆ (Barbs หรือ Cogs) จะเกาะยึดกับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ช่วยยกและกระชับผิวให้กลับสู่ตำแหน่งเดิม
ในขณะเดียวกัน เส้นไหมจะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางชีวภาพจากร่างกาย ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและเอลาสตินใหม่รอบๆ เส้นไหม กระบวนการนี้เรียกว่า Fibroplasia ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแน่นและความยืดหยุ่นของผิวหนังอย่างเป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์ที่ได้
- ยกกระชับแก้มหย่อน ลดริ้วรอยที่แก้ม
- ปรับรูปหน้าให้ดู V-Shape มากขึ้น
- ยกคิ้ว ยกเปลือกตา ทำให้ตาดูกว้างขึ้น
- กระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยเล็กๆ
- ปรับใบหน้าให้ดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
ผลลัพธ์หลังร้อยไหม กี่วันเห็นผล?
ผลลัพธ์จากการร้อยไหมจะปรากฏในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยแบ่งเป็นระยะต่างๆ ดังนี้
ผลลัพธ์ทันที (วันแรกหลังทำ)
ทันทีหลังจากการร้อยไหม จะสามารถเห็นการยกกระชับของใบหน้าได้เลย ประมาณ 30-50% ของผลลัพธ์สุดท้าย อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้อาจมีอาการบวม ฟกช้ำเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะค่อยๆ ลดลงภายใน 3-7 วัน
การเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์แรก (วันที่ 1-7)
ในสัปดาห์แรก อาการบวมและรอยแดงจะค่อยๆ ลดลง ผลลัพธ์การยกกระชับจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ประมาณวันที่ 5-7 คุณจะเริ่มเห็นรูปหน้าที่กระชับและเรียบเนียนขึ้นอย่างชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงในเดือนแรก (วันที่ 7-30)
หลังจากสัปดาห์แรก ผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนแรก กระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่จะเริ่มเกิดขึ้น ทำให้ผิวหน้าดูตึง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ประมาณสัปดาห์ที่ 2-3 จะเป็นช่วงที่ผลลัพธ์ดีที่สุด
การเปลี่ยนแปลงระยะยาว (เดือนที่ 1-6)
การสร้างคอลลาเจนใหม่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องประมาณ 3-6 เดือนหลังจากการร้อยไหม ในช่วงนี้ ผลลัพธ์จะมีความคงทนและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ผิวหน้าจะดูอ่อนเยาว์ กระชับ และมีเนื้อผิวที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
เส้นไหมจะค่อยๆ ละลายหายไปเองภายใน 6-8 เดือน แต่คอลลาเจนใหม่ที่สร้างขึ้นจะคงอยู่และช่วยรักษาผลลัพธ์ให้นานขึ้น ทำให้ผลลัพธ์รวมสามารถคงอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน
ข้อดีของการร้อยไหม
การร้อยไหมมีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า
ยกกระชับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์ลงโดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติ ไม่แปลกหรือเกร็งเหมือนการผ่าตัดบางประเภท รูปหน้าจะดูกระชับแต่ยังคงการแสดงออกทางสีหน้าที่เป็นธรรมชาติ
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
การร้อยไหมไม่เพียงแต่ให้ผลลัพธ์ในทันที แต่ยังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ กระบวนการนี้ช่วยปรับปรุงเนื้อผิว ลดริ้วรอยเล็กๆ และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง ทำให้ผลลัพธ์มีความคงทนมากขึ้น
เห็นผลเร็วและไม่ต้องพักฟื้นนาน
การร้อยไหมให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีและมีระยะเวลาพักฟื้นที่สั้นมาก ส่วนใหญ่สามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ภายใน 1-2 วัน และกลับมาออกงานได้ภายใน 3-5 วัน
ความปลอดภัยสูง
เส้นไหมที่ใช้ในการร้อยไหมผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก FDA และได้รับการใช้งานในทางการแพทย์มานานกว่า 30 ปี ความเสี่ยงจากการแพ้หรือการติดเชื้อมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับการผ่าตัดใหญ่
ปรับได้ตามความต้องการ
การร้อยไหมสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล สามารถปรึกษากับคุณหมอ เพื่อเลือกจำนวนเส้นไหม ตำแหน่งที่จะร้อย และชนิดของเส้นไหมให้เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการได้
Q&A
Q : ร้อยไหมคืออะไร แตกต่างจากการทำศัลยกรรมอย่างไร?
A : การร้อยไหมเป็นหัตถการแบบไม่ผ่าตัด (Non-surgical) ที่ใช้เส้นไหมที่ละลายได้เองเพื่อยกกระชับผิวหน้า ขณะที่การผ่าตัดยกหน้าต้องเปิดแผลและตัดเนื้อเยื่อส่วนเกิน การร้อยไหมใช้เข็มขนาดเล็กเท่านั้น มีแผลเล็กมาก ฟื้นตัวเร็วกว่า และมีความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเดิม
Q : ร้อยไหมใช้ไหมชนิดไหนบ้าง?
A : เส้นไหมที่ใช้ในการร้อยไหมทำจากวัสดุที่ปลอดภัยและละลายได้เอง ได้แก่ PDO (Polydioxanone), PLLA (Poly-L-Lactic Acid), และ PCA (Polycaprolactone) ซึ่งใช้ในทางการแพทย์มานาน เช่น ใช้เย็บแผลภายใน จึงมีความปลอดภัยสูงและไม่ก่อให้เกิดการแพ้
Q : ร้อยไหมเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่?
A : การร้อยไหมเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 25-65 ปี โดยจะให้ผลลัพธ์ดีที่สุดในผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเบาถึงปานกลาง สำหรับผู้ที่อายุน้อยกว่า 25 ปี อาจยังไม่จำเป็นต้องทำ ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี หรือมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก อาจต้องพิจารณาวิธีอื่นเพิ่มเติม
Q : ต้องพักฟื้นนานแค่ไหนหลังร้อยไหม?
A : การพักฟื้นหลังร้อยไหมใช้เวลาไม่นาน ในวันแรกอาจมีอาการบวมเล็กน้อย สามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน ภายใน 2-3 วัน สามารถกลับมาทำงานได้ ส่วนกิจกรรมออกกำลังกายหนักหรือนวดหน้า ควรหลีกเลี่ยงเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้เส้นไหมคงรูปและติดกับเนื้อเยื่อได้ดี
สรุป: เกี่ยวกับการร้อยไหม
การร้อยไหม เป็นหัตถการยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึง กระชับ และดูอ่อนเยาว์ การร้อยไหมมีความปลอดภัย เห็นผลเร็ว พักฟื้นสั้น และสามารถปรับแต่งตามความต้องการของแต่ละคน เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 25–65 ปี โดยเจ็บปวดน้อยถึงปานกลาง
หากคุณสนใจ สามารถมาปรึกษาและทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ Class Clinic ที่มีมากกว่า 20 สาขาทั่วประเทศ เราพร้อมให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเอง ประเมินความเหมาะสมของแต่ละบุคคล และวางแผนการรักษาอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามเป็นธรรมชาติ เหมาะกับสภาพผิวและความต้องการของคุณ
ที่ Class Clinic คลินิกความงาม เราดูแลคุณตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงหลังการทำ เพื่อให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ยาวนาน พร้อมบริการใกล้บ้านคุณทุกสาขา
ข้อควรรู้ก่อนฉีดโบท็อกซ์ Neuronox หากพูดถึงการดูแลผิวและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ หนึ่งในหัตถการยอดนิยมที่หลายคนเลือกคือการฉีดโบท็อกซ์ ข้อควรรู้ก่อนฉีดโบท็อกซ์ Neuronox
ราคาโบท็อกซ์ Neuronox ปี 2025 หากพูดถึงการดูแลผิวและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ หนึ่งในหัตถการยอดนิยมที่หลายคนเลือกคือการฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากแพทย์ความงามและผู้ใช้จำนวนมากก็คือ
ส่วนผสมในดริปผิว ที่ช่วยฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ความนิยมของการดริปผิวไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเป็นเพียง “แฟชั่น” หรือกระแสที่มาแล้วก็ไป แต่เกิดจากผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง