มาเด้กับเมโส ต่างกันยังไง
Home » มาเด้กับเมโส ต่างกันยังไง

มาเด้กับเมโส ต่างกันยังไง

บทความนี้จะมาให้ความรู้ เกี่ยวกับ มาเด้กับเมโส ต่างกันยังไง ? ในปัจจุบัน ปัญหาของผิวหน้านั้นมีหลายรูปแบบ เช่น ผิวหน้าหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียน มีการแพ้คัน อักเสบง่าย ผดผื่นคืน มีฝ้ากระ จุดด่างดำต่างๆ มากมาย ปัญหากวนใจหนุ่มสาวที่เชื่อว่าหลายๆ คนก็ยังคงประสบปัญหาอยู่ แต่สำหรับวันนี้เป็นโอกาสที่แสนพิเศษสำหรับท่าน เพราะเราในนามตัวแทนผู้ให้บริการความงามเช่นกัน จะมาแนะนำนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่เหล่าผู้ที่รักสวยรักงามเข้าใช้บริการตามสถาบันความงามทั่วไป นั่นก็คือการปรับสภาพผิวใหม่ด้วย มาเด้ กับ เมโส ซึ่งเป็นตัวคอลลาเจนแบบฉีดเข้าใบหน้า โดยสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ บนใบหน้าของท่านได้ทุกสภาพผิวเลย ดังนั้นพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ไปไม่ได้ เข้ามาทำความรู้จักกับตัวผลิตภัณฑ์ที่จะเปลี่ยนให้ท่านมีใบหน้าที่แลดูสุขภาพดี ขาวใส เรียบเนียน ดูสม่ำเสมอมากขึ้น จากตัว มาเด้คอลลาเจนที่ช่วยลดอาการ ผดผื่นคัน รอยแดงจากสิว ผิวไหม้ ป้องกันมลภาวะต่างๆ ที่เข้าสู่ใบหน้า ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า สร้างเซลล์ผิวใหม่ให้ดูแข็งแรง รวมไปถึงตัว เมโสหน้าใส (Mesotherapy) คอลลาเจนแบบสะกิดใต้ชั้นผิว ให้ซึมซาบวิตามินลงไปได้อย่างลึก กระตุ้นคอลลาเจนสร้างภูมิต้นทานให้ผิวแลดูสุขภาพดี ผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายออกไป สร้างผิวใหม่ให้แลดูขาวใส เรียบเนียน ดูสม่ำเสมอมากขึ้น ทั้งชายและหญิงใช้บริการได้ทุกคน

มาเด้คอลลาเจน คืออะไร

มาเด้คอลลาเจน คืออะไร

มาเด้คอลลาเจน คือ ชื่อยี่ห้อของตัวเมโสหน้าใสคอลลาเจนชนิดหนึ่งจากอิตาลีแบบฉีดเข้าผิวหน้าทั้งหมด 16 จุด ซึ่งในตัวยานั้นประกอบไปด้วยวิตามิน สารสกัดธรรมชาติ และแร่ธาตุมากมายที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายให้หลุดออกไป และสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา พร้อมกับสร้างภูมิต้นทานให้ผิวแลดูสุขภาพดี แข็งแรง ขาว ใส ลดรอยแดง ลดผื่นคันหรืออาการแพ้ต่างๆ บนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ด้วยตัวยานั้นกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวขึ้นมาใหม่ สร้างระบบการไหลเวียนของเลือดได้ดีมากขึ้น ช่วยขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิวให้ออกไป ลดอาการผิวหน้าอักเสบ ลดผื่นแพ้คัน ลดสิวผด ทำให้ผิวสดใส แข็งแรง และสุขภาพดีขึ้นมาก เมื่อพูดถึงข้อดีก็มีหลายด้าน เหมาะกับทั้งชายและหญิงที่ต้องการดูแลผิวบนใบหน้าให้ขาวใส เรียบเนียน ดูสม่ำเสมอมากขึ้น

จากระบบของการทำงานตัวยาที่มีสารบำรุงและขับของเสียมากมาย ช่วยดีท็อกซ์ผิว (Detoxification) ให้กับท่านได้โดยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายออกไป จากหลักการทำงานภายในใต้ชั้นผิว พร้อมกับสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมา และรวมไปถึงการทำงานในระบบเผาผลาญ (Metabolism) ที่เร่งระบบไหลเวียนเลือดให้ใบหน้าของท่านมีการล่อเลี้ยงผิวทุกชั้นให้ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวขึ้นมาใหม่ทำงานร่วมกับระบบเติมสารอาหารให้ผิว (Nutrients And Cell Therapy) จากวิตามินแร่ธาตุต่างๆ ในตัวยาที่จะช่วยบำรุงผิวให้ดูแข็งแรง ใส สุขภาพดีขึ้น ลดอาการอักเสบ คัน แดง แพ้ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ระบบปรับสมดุลผิว (Restructuring) มีความสม่ำเสมอจากวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ในตัวยาที่ฉีดเข้าไป 

เมโส คืออะไร มีหลักการทำงานต่อผิวอย่างไรบ้าง

เมโสหน้าใส (Mesotherapy) คือ วิตามินที่ใช้ฉีดเข้าใบ้หน้าด้วยลักษณะการสะกิดบนผิวซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน และในตัวเมโสหน้าใสนั้นจะแยกออกเป็น 3 กลุ่ม ตามปัญหาผิวบนใบหน้า ได้แก่

  • เมโสที่ช่วยให้หน้าขาว จะมีส่วนผสมของ Vitamin A, B, C, E Transamin, Glutatione 
  • เมโสที่ช่วยให้หน้าใส จะมีส่วนผสมของคอลลาเจนและโคเอนไซม์เป็นส่วนใหญ่ ที่ทำให้ผิวดูชุ่มชื้นรูขุมขนเล็กลง
  • เมโสที่ช่วยให้ลดผดผื่น แพ้คัน อักเสบ และขับ สารพิษ บนใบหน้า คือ มาเด้คอลลาเจน

โดยหลักการทำงานของตัว “เมโสหน้าใส (Mesotherapy)” นั้น จะใช้วิธีการฉีดแบบสะกิดผิว เพื่อให้สารวิตามินต่างๆ ซึมซาบลงสู่ผิวได้เป็นอย่างดี และยังช่วยให้ผลัดเซลล์ผิวที่เสียแล้วออกไป สร้างเซลล์ผิวใหม่ให้กลับมาสดใส ดูออร่า เปล่งปลั่งมากขึ้น แถมยังช่วย ลดเลือนริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ กระชับรูขุมขนได้เป็นอย่างดี

สภาพผิวแบบไหนเหมาะกับการทำมาเด้คอลลาเจน

สภาพผิวแบบไหนเหมาะกับการทำมาเด้คอลลาเจน

สำหรับบุคคลที่ควรเข้าฉีดเมโสหน้าใส รวมไปถึงเมโสตัวที่เป็นมาเด้คอลลาเจนนั้น คือคนที่มีสภาพผิวไม่แข็งแรง ต้องการลดรอยจุดด่างดำ ฝ้า กระ รอยสิว หรือคนที่มีผิวแพ้ง่ายมีปัญหาสิวผิวหน้าไม่เนียน แนะนำให้เข้าทำการรักษาจากทั้ง 2 ชนิดนี้ได้เลย และแนะนำว่าควรทำสักประมาณ 5 ครั้งขึ้นไปสำหรับแต่ละชนิด เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น และนอกจากนี้ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดเมโสและมาเด้คอลลาเจน ควรงดทาครีมกลางคืน 1 วันหลังจากที่ทำ และควรใส่หน้ากากอนามัยไม่ให้โดนแสงหรือมลภาวะประมาณ 1 สัปดาห์ ส่วนรอยแดงหรือของเข็มไม่ต้องกังวลใจไป เพราะรอยนั้นจะหายไปเองในภายใน 5-6 ชั่วโมงแนะนำว่าไม่ควรจับหรือถูไปมา เพื่อไม่ให้ผิวมีการอักเสบ หลังจากฉีด 1 วันล้างน้ำสะอาด ไม่ควรให้หน้าโดดแสงแดดเพื่อไม่ให้ผิวไหม้ ฉีดมาเด้คอลลาเจนกับทาง Class clinic คลินิกความงาม ขอนแก่น ปลอดภัยแน่นอน

Q&A มาเด้กับเมโส ต่างกันยังไง

Q : เมโส (Mesotherapy) คืออะไร ?

A : เมโสคือการฉีดสารประกอบทางการแพทย์เข้าสู่ชั้นผิวย่อยๆ เพื่อปรับปรุงผิว, ลดไขมัน, หรือแก้ไขปัญหาผิวต่างๆ โดยสารที่ฉีดมีการผสมผสานจากวิตามิน, แร่ธาตุ, อาหารเสริม, และสารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิว

Q : มีข้อแนะนำอะไรหลังการฉีดมาเด้คอลลาเจนหรือเมโส ?

A : หลังการฉีดควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน, ไม่ควรทานแอลกอฮอล์หรือยาต้านการอักเสบ, และหลีกเลี่ยงการนวดหรือขนาดบริเวณที่ฉีดจนกว่าจะผ่านไป 24-48 ชั่วโมง

สรุป

การฉีดมาเด้คอลลาเจนเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง เป้าหมายของการฉีดมาเด้คอลลาเจนคือเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับให้กับผิวหนัง รวมถึงลดริ้วรอยและเลื่อนตำแหน่งของสิ่งแวดล้อมในผิวหนัง

อย่างไรก็ตาม การฉีดมาเด้คอลลาเจนเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ต้องทำโดยบุคคลที่มีความรู้และความชำนาญในการดำเนินการ ดังนั้น หากคุณสนใจในการฉีดมาเด้คอลลาเจน ควรพบแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญในการดำเนินการนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย และอย่าลืมถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลข้างเคียงและคำแนะนำหลังการทำกระบวนการฉีดมาเด้คอลลาเจนด้วย

บทความ
อาการข้างเคียงหลังฉีด Botox และวิธีจัดการ
อาการข้างเคียงหลังฉีด Botox และวิธีจัดการ

อาการข้างเคียงหลังฉีด Botox และวิธีจัดการ การฉีด Botox เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการดูแลและฟื้นฟูสภาพผิว โดยเฉพาะในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอย และการปรับรูปหน้าตามที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทำการฉีด

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Botox
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Botox

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Botox หลังจากการฉีด Botox การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด การปฏิบัติตาม ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Botox จะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา การปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์จะทำให้ผลลัพธ์ของ

Botox กับการแก้ปัญหารอยย่น
Botox กับการแก้ปัญหารอยย่น

Botox กับการแก้ปัญหารอยย่น ในขณะที่ Botox กับการแก้ปัญหารอยย่น เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการแสดงอารมณ์บ่อยๆ เช่น รอบดวงตา หน้าผาก